สถิติ
ชี้ว่า ผู้หญิง 1 ใน 5 คนทรมานกับอาการปวดไมเกรน และกว่าครึ่งของผู้หญิงวัย
30 ขึ้นไป มีอาการปวดศีรษะเป็นๆ หายๆ
หลายคนใช้วิธีบรรเทาอาการด้วยการกินยาแก้ปวด ทั้งที่ความจริงมีวิธีร้อยแปด
ช่วยให้คุณหายปวดศีรษะเป็นปลิดทิ้ง หากรู้สาเหตุที่แท้จริง
ตัวกระตุ้นที่ 1 : กิจวัตรวันหยุดสุดสัปดาห์
หลาย
คนทำงานหนักและสะสมความเครียดตั้งแต่จันทร์ - ศุกร์ (บางคนรวมวันเสาร์ด้วย)
พอถึงวันเสาร์ - อาทิตย์จึงเอาคืนด้วยการนอนมาราธอน ตื่นซะเที่ยง
สิ่งที่เป็นของแถมมาคือ อาการปวดศีรษะตุบๆ เป็นเพราะเมื่อเครียดน้อยลง
ฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอล (cortisol) และนอราดรีนาลิน (noradrenaline) ก็ลดลงด้วย ส่งผลให้สารสื่อประสาท (neurotransmitter)ไปกระตุ้นหลอดเลือดแดงให้หดและคลายตัวอย่างรวดเร็ว จนเกิดอาการปวดศีรษะได้
วิธีรับมือ
- อย่านอนเยอะไป พบว่า 79 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ปวดศีรษะบ่อยๆ นอนหลับมากกว่าคืนละ 8 ชั่วโมง
-
ดื่มกาแฟเวลาเดิมทุกวัน คนติดกาแฟที่ปกติดื่มกาแฟตอนเช้าทุกวันก่อนทำงาน
ช่วงสุดสัปดาห์ก็ควรดื่มเวลาเดิม
เพราะหากร่างกายไม่ได้รับสารกาเฟอีนอย่างที่เคย อาจทำให้ปวดศีรษะรุนแรงได้
-
ออกกำลังกายระหว่างสัปดาห์ครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3
วันช่วยลดความถี่ของอาการปวดศีรษะได้กว่าครึ่ง
การออกกำลังกายช่วยลดผลกระทบของความเครียด
ทั้งยังทำให้ร่างกายหลั่งสารระงับปวดชื่อเอนดอร์ฟิน (endorphin) ออกมา
-
นอกจากนี้ กิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆอย่างฝึกโยคะ นั่งสมาธิ
ทำให้สามารถควบคุมปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่มีต่อความเครียดได้ดีขึ้น
อย่างเช่นความตึงของกล้ามเนื้อและอัตราการเต้นของหัวใจ
พบว่าผู้ที่ปวดศีรษะบ่อยๆ มีอาการทุเลาลงถึง 80 เปอร์เซ็นต์
เมื่อทำกิจกรรมข้างต้น
ตัวกระตุ้นที่ 2 : การรักษาแบบผิดๆ
เมื่อปวดศีรษะหลายคนมักพึ่งยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรือนาพร็อกเซน (naproxen) โดยหารู้ไม่ว่า การกินยาแก้ปวดเหล่านี้บ่อยกว่าสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง มีผลต่อศูนย์ควบคุมความเจ็บปวดในสมอง และอาจลดสารเซโรโทนิน (serotonin) ใน
สมองซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกดีมีความสุข ผลก็คือ
ทำให้ปวดศีรษะหนักและถี่ขึ้นจนถึงขั้นปวดทุกวัน ผู้หญิงยิ่งต้องระวัง เพราะ
75
เปอร์เซ็นต์ของคนที่ปวดศีรษะด้วยสาเหตุนี้เป็นผู้หญิงโดยเฉพาะที่มีอายุเกิน
30 ปี
วิธีรับมือ
-
อย่าใช้ยาบ่อย และอ่านฉลากก่อนใช้ นานๆ ทีคงไม่เป็นไร
แต่ต้องมั่นใจว่าปฏิบัติตามคำแนะนำในฉลากอย่างเคร่งครัด
หากกินเกินขนาดที่แนะนำ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการปวดศีรษะเรื้อรัง
-
หากสงสัยว่าอาการปวดศีรษะเรื้อรังของคุณมีสาเหตุจากการใช้ยาแก้ปวดบ่อยเกิน
ไป ควรรีบปรึกษาแพทย์ ซึ่งจะแนะนำให้คุณหยุดกินยา
หรือลดปริมาณยาอย่างค่อยเป็นค่อยไปการรักษาอาจสร้างความทรมานให้พอสมควร
แต่ระหว่างนี้แพทย์อาจจ่ายยาแก้อาการปวดศีรษะบางตัวเพื่อช่วยคุมอาการปวด
ด้วย อาการควรดีขึ้นใน 1 - 3 สัปดาห์ แต่บางรายก็อาจใช้เวลานานถึง 3 เดือน
ตัวกระตุ้นที่ 3 : รอบเดือน
จาก
บรรดาผู้ป่วยไมเกรนเพศหญิงทั้งหมด มีจำนวนถึง 60
เปอร์เซ็นต์ที่มีอาการปวดศีรษะเฉพาะก่อนมีรอบเดือน
หรือช่วงวันแรกของรอบเดือน สาเหตุเพราะการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเอสโทรเจน
ส่งผลให้สารเซโรโทนินลดลงไปด้วย สังเกตได้ว่าในช่วงตั้งครรภ์
อาการปวดศีรษะจะลดลงเพราะระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนค่อนข้างคงที่นั่นเอง
วิธีรับมือ
- พบแพทย์ แพทย์มักจ่ายยากลุ่มทริปแทน (triptan) โดย
อาจแนะนำให้กินติดต่อกัน 2 วันก่อนมี ประจำเดือน
หรือกินต่อเนื่องระหว่างมีประจำเดือน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและความถี่ของอาการปวด
นอกจากนี้ยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์อย่างไอบูโพรเฟน
ถ้ากินทุกวันช่วงก่อนมีประจำเดือน 5 - 7 วัน
จะช่วยลดความถี่ของอาการปวดศีรษะได้เช่นกัน
-
รักษาระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนโดยใช้ยาคุมกำเนิด
เคยเชื่อกันว่าการกินยาเม็ดคุมกำเนิดทำให้อาการปวดศีรษะแย่ลง
แต่ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ตรงกันข้าม การกินยาเม็ดคุมกำเนิดขนานใหม่ๆ
ที่มีระดับฮอร์โมนไม่สูงนักต่อเนื่องกันทุกวัน อาจบรรเทาอาการปวดได้
เพราะช่วยรักษาระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนไม่ให้เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม
เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันชัดเจน
ดังนั้นหากคิดจะกินยาเม็ดคุมกำเนิดแบบต่อเนื่องเพื่อลดอาการปวดไมเกรนควร
ปรึกษาแพทย์ก่อน
ตัวกระตุ้นที่ 4 : การเก็บกดความโกรธ
การ
พยายามเก็บความโกรธไว้คนเดียวไม่ส่งผลดีทั้งต่อคุณเองหรือต่อใครๆ
เพราะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดศีรษะรุนแรงกว่า
และมากกว่าโรคเครียดและโรคจิตกังวลเสียอีก
เมื่อเราโกรธกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายจะตึง รวมถึงบริเวณแผ่นหลังลำคอ
และใต้หนังศีรษะ
ทำให้ปวดศีรษะและมีอาการคล้ายมีอะไรรัดศีรษะจนแทบจะระเบิดออกมา
วิธีรับมือ
-
ครั้งต่อไปที่เริ่มรู้สึกเดือดปุดๆ
ให้สูดหายใจเข้าลึกๆโดยใช้เวลานานกว่าปกติ กลั้นไว้ 3 - 5 วินาที
ขณะใช้นิ้วโป้งจรดกับนิ้วชี้วางไว้บนหน้าตักให้เหมือนกันสองข้างคล้ายนั่ง
สมาธิ แล้วหายใจออกทางปากช้าๆ จนรู้สึกว่าลมระบายจากปอดทั้งหมด ทำซ้ำ 2 - 3
ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการตึงของกล้ามเนื้อคอและไหล่
ป้องกันอาการปวดศีรษะได้
-
คิดทบทวน เมื่ออารมณ์เย็นลงแล้ว คิดทบทวนว่า
จำเป็นต้องโกรธขนาดนั้นหรือไม่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
หน้าตาน่าเกลียดแค่ไหนในตอนนั้น
เรื่องที่โกรธสำคัญขนาดต้องจดจำไปเป็นเดือนๆ ไหม
วิธีนี้ช่วยให้คุณคิดบวกและหาทางออกได้ดีขึ้น
พบว่าคนที่ปล่อยวางความโกรธในช่วงแรกสามารถจัดการกับปัญหาได้ดีขึ้นในเวลา
ต่อมา ตรงกันข้ามถ้าเลือกที่จะโกรธ คุณจะหงุดหงิดจนปวดศีรษะตลอดทั้งวัน
- ถ้าโกรธจนปวดศีรษะไปแล้วหาผ้าชุบน้ำอุ่นประคบต้นคอบริเวณท้ายทอยสัก 2 - 3 นาที ช่วย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อคอ (sternocleido-mastoid muscles) ซึ่งเป็นจุดหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะจากความเครียด
ตัวกระตุ้นที่ 5 : อาหารบางชนิด
หาก
คุณรับประทานชีส ช็อกโกแลต และน้ำอัดลมประเภทไม่ผสมน้ำตาล
แล้วเกิดอาการปวดศีรษะก็ไม่ต้องแปลกใจ
เพราะพบว่าสารเคมีในอาหารเหล่านี้มีส่วนกระตุ้นอาการปวดศีรษะไมเกรนเช่น
ไทรามีน (ในชีส) ทีโอโบรมีน (ในช็อกโกแลต) และแอสปาร์แตม (ในเครื่องดื่ม)
ผงชูรสและไนเตรต (ในเนื้อปลาปรุงรสหรือไส้กรอก)
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานสนับสนุนว่า
เพียงเลิกน้ำอัดลมก็สามารถทำให้อาการปวดศีรษะลดลงได้
วิธีรับมือ
-
จดรายการอาหารที่รับประทานเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดศีรษะ
อะไรที่กินเป็นประจำแล้วปวดศีรษะก็พยายามเลี่ยง
จากนั้นสังเกตดูว่าอาการดีขึ้นหรือไม่
- อย่าอดอาหาร การงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดดิ่งลง จนอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะไมเกรนได้
ตัวกระตุ้นที่ 6 : กลิ่นน้ำหอม
-
กลิ่นหอมอ่อนๆ อาจน่าหลงใหลแต่กับบางคน นั่นอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะ
กลิ่นต่างๆ ที่เราสูดเข้าไปล้วนมีผลต่อสารต่างๆ ในสมอง
พบว่าคนที่ปวดไมเกรนกว่า 50 เปอร์เซ็นต์แพ้กลิ่นฉุน เช่น
กลิ่นน้ำยาถูพื้นและกลิ่นน้ำหอม
วิธีรับมือ
อยู่
ในที่ที่อากาศถ่ายเท แน่นอนว่าคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงกลิ่นฉุนๆได้เสมอไป
แต่สิ่งที่ทำได้คือ พยายามจัดบ้านและที่ทำงานให้อากาศถ่ายเทสะดวก
อาจใช้วิธีติดตั้งพัดลมระบาอากาศ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม
คุณปวดศีรษะแบบไหน การวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้องเป็นขั้นแรกสู่การรักษาที่ได้ผล คุณเป็นโรคปวดศีรษะ
ไมเกรน :
ปวดศีรษะตุบๆ รุนแรงบริเวณขมับหน้าผาก เบ้าตา หรือท้ายทอย
และมักปวดศีรษะข้างเดียวทั้งยังอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ถ่ายท้อง
ไวต่อเสียงและแสงผิดปกติ มักเป็นซ้ำๆ แบบเดิม
วิธีการรักษาที่ได้ผล : รับประทานแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาแก้ปวดไมเกรนโดยเฉพาะ เช่น เอกซ์เซดริน (excedrin) หากอาการไม่ดีขึ้นหรือปวดมากกว่าเดิม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการป้องกันด้วย
ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงเครียด : รู้สึก
ว่าเส้นตึง ปวดบริเวณท้ายทอยต้นคอ หรือปวดทั่วทั้งศีรษะคล้ายมีอะไรมาบีบรัด
มักไม่ปวดบ่อยๆ และไม่มีรูปแบบซ้ำเดิม แต่บางคนอาจปวดเรื้อรัง
วิธีการรักษาที่ได้ผล :
ไม่ว่าจะเป็นแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือพาราเซตามอล
ก็ใช้บรรเทาอาการปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงเครียดได้ทั้งสิ้น
แต่ถ้าคุณปวดศีรษะเรื้อรัง ปรึกษาแพทย์ดีที่สุด
ไซนัส : ปวดบริเวณแก้ม ระหว่างหัวคิ้ว และกลางหน้าผาก และมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่น น้ำมูกไหลลงคอและเจ็บคอ
วิธีการรักษาที่ได้ผล :
ใช้แอสไพรินไอบูโพรเฟน หรือนาพร็อกเซน
ที่มีฤทธิ์ลดอาการปวดและต้านอาการอักเสบร่วมกับยาลดอาการคัดจมูก
ซึ่งทำให้อาการปวดลดลง
คุณยังควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือให้การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
เทคนิคง่ายๆ แก้ปวดศีรษะ
-
ร่างกายแข็งแรง และอารมณ์ดีขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นเพราะไทชิเน้นการผ่อนคลาย
การกำหนดลมหายใจและการเคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วนสัมพันธ์กัน
จึงช่วยลดอาการปวดศีรษะได้
-
กินแมกนีเซียม : พบว่า 50
เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยไมเกรนมีระดับแมกนีเซียมในร่างกายต่ำ
ผู้หญิงส่วนหนึ่งมีแมกนีเซียมในร่างกายค่อนข้างต่ำและยิ่งต่ำลงอีกในช่วง
เครียด การรับประทานวิตามินเสริมแมกนีเซียมวันละ 400 มิลลิกรัม
จึงเป็นอีกวิธีช่วยลดอาการปวดศีรษะ
- กินวิตามินเสริมโคเอนไซม์ Q10 : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีในร่างกายคนเรา พบว่าผู้ที่รับประทานโคเอนไซม์ Q10
เป็นอาหารเสริมครั้งละ 100 มิลลิกรัมวันละ 3 เวลา มีอาการปวดไมเกรนน้อยลง
แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพราะสารนี้อาจทำปฏิกิริยากับยาชนิดอื่นๆ
ที่รับประทาน
ที่มา: เว็บไซต์เลดี้ทริป